จับตานโยบายเชิงรุก สมาคมการค้ายาสูบไทย แก้ไขปัญหาแบบตรงเป้า

ปัญหายาสูบเป็นความท้าทายที่มีมาช้านานของอุตสาหกรรมยาสูบที่เป็นเสมือนไม้เบื่อไม้เมาให้กับเศรษฐกิจของไทย แน่นอนว่ายาสูบเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญในการจัดเก็บรายได้เข้ารัฐ ขณะที่ยาสูบก็เป็นตัวปัญหาที่ก่อเกิดปัญหาด้านสุขภาพให้กับประชากรของประเทศ อีกทั้งธุรกิจอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องก็ล้วนแล้วแต่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับนโยบาย กฎระเบียบที่บังคับใช้จนขาดความสามารถในการแข่งขัน อีกทั้งยังเป็นแรงผลักดันให้เกิดการทะลักเข้าของบุหรี่เถื่อนเนื่องจากการกำหนดราคาขายที่สูงขึ้นตามข้อกฎหมาย เหล่านี้เป็นปัญหาที่ไม่ต่างจากปัญหาไก่กับไข่ ประเด็นนี้ TheReporterAsia จะพาไปรู้จักกับแนวคิดของการทำงานเชิงรุกเพื่อไขปัญหาที่กล่าวมา จาก “พี่ณี” หรือ นางสาวธัญญศรัณ แสงทอง ผู้อำนวยการ สมาคมการค้ายาสูบไทย หญิงคนใหม่

นางสาวธัญญศรัณ แสงทอง ผู้อำนวยการบริหารสมาคมการค้ายาสูบไทย กล่าวว่า หลังจากที่เข้ามารับตำแหน่ง ด้วยความที่มีพื้นฐานมาจากสภาหอการค้าอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายภาษีและกฎระเบียบ ทำให้เมื่อเข้ามารับตำแหน่งในสมาคมการค้ายาสูบไทย จึงต้องการเน้นไปที่การประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐ ในการผลักดันปัญหาต่าง ๆ ในภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม อีกทั้งยังจะนำประสบการณ์กว่า 30 ปี ที่เกี่ยวข้องกับด้านกฎหมายภาษีเข้ามาช่วยผลักดันให้ปัญหาลุล่วง

โดยจะนำแนวนโยบายต่าง ๆ ที่เคยจัดทำให้กับ สภาหอการค้าอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในภาคอุตสาหกรรมใหญ่ ทั้งส่วนของอุตสาหกรรมรถยนต์ เครื่องดื่มมีแอลกอฮอล์ และไม่มีแอลกอฮอล์ รวมถึงยาสูบด้วย ซึ่งก็จะได้นำแนวนโยบายดังกล่าวมาสานต่อเมื่อมาอยู่ที่สมาคมการค้ายาสูบไทย ก็คาดว่าจะสามารถประสบผลสำเร็จได้ตามเป้าหมาย

ครึ่งปีที่ผ่านมา เราเห็นว่าในส่วนของยาสูบยังมีปัญหาที่ท้าทายและน่าศึกษาเชิงลึก พอเราศึกษาเชิงลึกในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ยาสูบโดยเฉพาะ เราจะเห็นว่ามีส่วนของการควบคุม ผ่านทาง พรบ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ซึ่งเราจะต้องศึกษาดูว่า พรบ.ฉบับนี้มีความเกี่ยวโยง และมีความสำคัญที่เราจะต้องตระหนักถึงอะไรบ้าง ซึ่งหลัก ๆ ที่เราเห็นตอนนี้ คือเรื่องบุหรี่เถื่อน ที่ค่อยข้างมีความรุนแรงมากขึ้นพอสมควร ทำให้ในปีนี้เราจะต้องมีการผลักดันเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องจากที่มีการทำอยู่แล้วในช่วงปีที่ผ่านมา

กลยุทธ์เชิงรุก แก้ปัญหาการลักลอบค้าบุหรี่เถื่อน
ในปีนี้ ส่วนแรกเราจะผลักดันและประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐในเชิงรุก จากที่เคยทำเพียงแค่ส่งหนังสือเข้าไปยังองค์กรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เราจะปรับรูปแบบในการเข้าไปพบปะพูดคุยในเชิงรุก ซึ่งคาดว่าน่าจะได้ผลลัพธ์ที่มากกว่า เพื่อให้เกิดการทำงานร่วมกันด้านการปราบปรามการลักลอบค้าบุหรี่เถื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น

แนวทางการขึ้นภาษีบุหรี่ ทำให้บุหรี่ถูกฎหมายมีราคาที่สูงขึ้น เมื่อราคาสูงขึ้น ผู้สูบจึงนิยมไปสูบในราคาที่ถูกกว่า ซึ่งก็คือบุหรี่เถื่อน และส่งผลให้ยอดขายบุหรี่ถูกกฎหมายลดลง และส่งผลกระทบต่อไปยังเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบที่ขายใบยาสูบได้ในปริมาณที่ลดลง ซึ่งเมื่อศึกษาดูข้อมูลแล้ว เจตนารมณ์ของกฎหมายการเพิ่มภาษียาสูบแล้วจะเห็นว่าเป็นการมุ่งเน้นเรื่องของสุขภาพเป็นหลัก

ขณะที่ในภาคอุตสาหกรรมการผลิตยาสูบนั้น เมื่อทำถูกฎหมายแล้วแต่กลับถูกลดทอนความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับบุหรี่เถื่อนเป็นอย่างมาก ซึ่งก็ทำให้บางร้านอาจจะมีการตัดสินใจลักลอบนำบุหรี่เถื่อนเข้ามาจำหน่าย ในขณะที่บางร้านก็เกรงกลัวและไม่กล้าที่จะนำเข้ามาขาย กลายเป็นปัญหาต่อเนื่องที่เกิดขึ้นตามมา

ประเด็นแรกในความตั้งใจของเราจึงเป็นความมุ่งมั่นที่จะทำงานในเชิงรุก เพื่อประสานไปยังหน่วยงานปราบปรามและส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการกวดขันและจับกุมบุหรี่เถื่อนที่เพิ่มมากขึ้น นอกเหนือจากการผลักดันที่เราได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนนี้จะเป็นหัวใจสำคัญที่เราจะผลักดัน ประเด็นที่สอง เป็นส่วนของโครงการที่ช่วยรณรงค์ให้เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี หลีกเลี่ยงในการสูบบุหรี่ ซึ่งจะเป็นการรณรงค์ผ่านแคมเปญ “โชว์การ์ด” เพื่อรณรงค์ของความร่วมมือผ่านเพื่อนร้านค้าสมาชิก ในการที่จะไม่จำหน่ายบุหรี่ให้กับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี

ปัญหาการสูบบุหรี่ในเด็กและเยาวชนยังเป็นเรื่องที่สังคมไทยมีความกังวล จากผลสำรวจพฤติกรรมด้านสุขภาพของประชากร ปี 2564 พบว่ายังมีเยาวชนอายุระหว่าง 15-19 ปีกว่า 260,000 คน หรือประมาณ ร้อยละ 6.2 ของประชากรที่มีอายุมากกว่า 15 ปีในประเทศไทยเป็นผู้สูบบุหรี่ แน่นอนว่าคนในสังคมส่วนหนึ่งก็มองมาที่ร้านค้าว่าเป็นต้นเหตุที่ปล่อยให้มีการขายบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกประเภทให้กับกลุ่มเยาวชนได้

โดยช่วงที่ผ่านมา เราได้ออกพบปะสมาชิกสมาคมฯ เพื่อทำความเข้าใจในการงดจำหน่ายบุหรี่ให้กับเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ซึ่งจากการสำรวจกลุ่มสมาชิกพันกว่าราย พบว่ามีความเข้าใจในการทำได้ถูกต้องตามกฎหมายราว 80% ขณะที่อีกราว 20% ก็อาจจะยังไม่มีความเข้าสักเท่าไหร่ ซึ่งก็จะดำเนินการรณรงค์ต่อไปในปี 2566 นี้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้การสำรวจยังพบว่ากลุ่มร้านค้าทั่วไป ยังไม่มีความเข้าใจในส่วนของวิชาการ กฎหมายหรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาสูบมากนัก ซึ่งเราก็จะพยายามส่งเสริมและให้ความรู้เพื่อให้ผู้ค้ามีความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องในการจำหน่ายยาสูบต่อไป

ทั้งนี้ในอุตสาหกรรมยาสูบ ส่วนใหญ่จะเป็นการขับเคลื่อนด้วยร้านค้าปลีก ร้านค้ารายย่อยทั่วไปเป็นหลัก ซึ่งเขาก็อาจจะไม่มีความสนใจในด้านความรู้ จุดนี้เราจึงต้องประสานกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อสนับสนุนให้ร้านค้าเกิดการตระหนักรู้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้เกิดความมั่นคงด้านการค้ายาสูบมากขึ้นตามไปด้วย

"เราพยายามจะทำให้แตกต่างจากที่ผ่านมา โดยการเข้าพบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกระตุ้นให้เกิดรูปธรรมที่ชัดเจนมากขึ้น"

การค้ายาสูบไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่หรือรายย่อย ควรได้รับการสนับสนุนเหมือนกับภาคธุรกิจอื่น ๆ แต่เนื่องจากในธุรกิจยาสูบมีรายย่อย ๆ เยอะ นอกจากการที่ความรู้ความเข้าใจด้านการทำธุรกิจยาสูบที่ถูกต้องยังมีอยู่น้อยแล้ว การที่เราจะเข้าไปพบปะหารือกับรายย่อย ๆ ตลอดจนการรวบรวมประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นก็ดี ทำให้เรายังไม่เข้าใจได้ลึกซึ้งมากพอ ซึ่งยังมีความไม่เข้าใจของร้านค้าทำให้เราไม่ได้รับข้อมูลที่แท้จริงจากร้านค้าที่เราจะต้องเข้าไปแก้ปัญหา ทำให้สัดส่วนในประเด็นปัญหาที่เราได้จากทั้งรายใหญ่ที่มีเข้ามาเยอะ และรายย่อยที่ยังมีไม่มากพอ

ในฐานะที่เรามาจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการค้าส่ง-ค้าปลีก ของสภาหอการค้าฯ ซึ่งเป็นองค์กรเอกชนด้านการค้าในภาพใหญ่ของประเทศไทย ในฐานะที่เราเป็นสมาชิกทำให้เราสามารถส่งต่อประเด็นปัญหาต่าง ๆ ผ่านไปยังคณะกรรมการชุดดังกล่าว เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการช่วยเราผลักดันประเด็นปัญหาที่เรามี และอาจจะมีการเข้าร่วมการประชุมกับคณะกรรมการชุดดังกล่าว ตลอดจนการทำหนังสือนำส่งปัญหาเสนอต่อประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยต่อไปในอนาคต

อนึ่ง การจำแนก บุหรี่เถื่อน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทที่สำคัญ 1 บุหรี่ที่ผลิตในต่างประเทศแต่ลักลอบนำเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย ไม่ผ่านขึ้นตอนทางภาษี ทำให้ต้นทุนต่ำ แต่เสี่ยงความเสียหายระหว่างการขนส่ง ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอันตรายกับผู้สูบได้จากการปนเปื้อนเชื้อที่เกิดขึ้นระหว่างการเก็บรักษาและขนส่งผิดวิธี 2 บุหรี่ที่มีการหิ้วเข้ามาจากต่างประเทศ ผ่านกระบวนการทางภาษีได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดย 1 คนไทยสามารถหิ้วบุหรี่กลับเข้ามาในราชอาณาจักรไทยได้ไม่เกิน200มวนหรือ 1 คอตตอน และ 3 บุหรี่ที่ผลิตขึ้นมาแบบผิดกฎหมาย หรือไม่ผ่านขึ้นตอนการผลิตมาตรฐานแต่อย่างใด ซึ่งนับว่าเป็นประเภทยาสูบที่มีความอันตรายต่อผู้สูบมากที่สุด

ขณะที่โครงสร้างการจัดเก็บภาษีบุหรี่ มีด้วยกัน 2 อัตรา แบ่งเป็นบุหรี่ที่มีการจำหน่ายไม่เกินซองละ 72 บาท คิดภาษีเพิ่มในอัตราร้อยละ 25 และบุหรี่ที่มีราคาจำหน่ายเกิน 72 บาท จะต้องจ่ายภาษีเพิ่มในอัตราร้อยละ 42 โดยเริ่มมีการจัดเก็บมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 โดยคาดว่าจะมีการกำหนดโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ราวต้นปี 2566 เพื่อพิจารณาการจัดเก็บที่รอบด้านมากขึ้น สะท้อนด้านการจัดเก็บรายได้ภาครัฐ สุขภาพประชาชน ตลอดจนการแก้ไขปัญหาบุหรี่เถื่อนที่ทะลักเข้ามาจากราคาบุหรี่ที่แพงขึ้น

ขอบคุณที่มา : https://thereporter.asia/2023/01/17/ttta/ 

ข่าวน่าสนใจ
...
รัฐบาลเปิดแผน 3 ขั้น เดินหน้าจัดการวิกฤตบุหรี่เถื่อน
ผลกระทบจากบุหรี่เถื่อน

รัฐบาลเปิดแผน 3 ขั้น เดินหน้าจัดการวิกฤตบุหรี่เถื่อน ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีมากกว่า 25,000 ล้านบาทต่อปีปฏิบัติการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าที่ผ่านมา ทำให้การบริโภคบุหรี่เถื่อน หรือบุหรี่ไม่เสียภาษีเพิ่มขึ้นมาก เนื่องจากเมื่อบุหรี่ไฟฟ้าถูกปราบปรามและหาซื้อยากขึ้น ผู้ใช้ก็จะเปลี่ยนกลับมาสูบบุหรี่มวน แต่เมื่อบุหรี่มวนในปัจจุบันมีราคาแพง กลุ่มผู้ใช้จึงหันไปสูบบุหรี่เถื่อน ซึ่งราคาถูกและหาซื้อได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์ อีกทั้งยังมีรสชาติและรูปแบบการซื้อขายที่ตอบสนองกับพฤติกรรมของผู้สูบมากกว่า จากการสำรวจสุ่มเก็บซองบุหรี่ที่ถูกทิ้ง พบว่าสัดส่วนการบริโภคบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นจาก 25% เป็น 28% ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ สงขลา พัทลุง ภูเก็ต นครศรีธรรมราช นครราชสีมา และอุบลราชธานี ที่สถานการณ์น่าเป็นห่วงมาก เพราะมีสัดส่วนการบริโภคบุหรี่เถื่อนสูง ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีมากกว่า 25,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ บุหรี่เถื่อนยังมีความเสี่ยงสูงต่อสุขภาพ เพราะพบว่ามีโลหะหนักและสารก่อมะเร็งมากกว่าบุหรี่ที่ผลิตถูกต้องตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่ใช่แค่เรื่องภาษีหรือคุณภาพสินค้า แต่การลักลอบซื้อขายบุหรี่ไฟฟ้าและบุหรี่เถื่อนยังเชื่อมโยงกับอาชญากรรมข้ามชาติ หลังพบว่ามีการลักลอบปะปนนำเข้ามาพร้อมกับยาเสพติดจากเครือข่ายประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากพื้นที่ลักลอบนำเข้าตามแนวชายแดนมีความเกี่ยวข้องกับเส้นทางลักลอบลำเลียงขนส่งยาเสพติด ดังนั้น เครือข่ายที่ลักลอบจำหน่ายสินค้าเถื่อนเหล่านี้ย่อมเข้าใจดีถึงอุปสงค์ (Demand) และอุปทาน (Supply) ของผู้บริโภคและเครือข่ายกระจายสินค้า รัฐบาลจึงได้ประกาศเดินหน้าปราบปรามปัญหาบุหรี่เถื่อนควบคู่ไปกับบุหรี่ไฟฟ้าอย่างจริงจัง นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ เปิดเผยว่ามีแผนปฏิบัติการทั้งระยะเร่งด่วน ระยะสั้น และระยะยาว โดยจะขับเคลื่อนปฏิบัติการปราบปรามบุหรี่เถื่อนเชิงรุก รวม 3 แนวทาง ได้แก่ ปราบปรามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ และภาคตะวันตก เพื่อปิดช่องทางลักลอบนำเข้าผ่านช่องทางธรรมชาติ ทั้งทางบกและทางทะเล ภายใต้แผนเฉพาะกิจการปราบปรามบุหรี่ผิดกฎหมาย ตรวจสอบและดำเนินคดีกับร้านค้าที่ลักลอบจำหน่ายทั้งหน้าร้านและออนไลน์ ตัดวงจรการซื้อขายผ่านโซเชียลมีเดีย โดยกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมรับหน้าที่ปิดกั้นเว็บไซต์ เพจ และ URL ที่เกี่ยวข้อง สอดคล้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการใช้กฎหมาย ที่ก็มีแผนควบคุมบุหรี่เถื่อนใน 3 ระยะ (เร่งด่วน-สั้น-ยาว) เช่นกัน โดยเร่งดำเนินการสืบสวน จับกุม และเพิ่มโทษผู้กระทำผิดเพื่อช่วยลดอุปสงค์ของตลาดมืด พร้อมรณรงค์ให้ประชาชนรับรู้ถึงผลกระทบด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้บุหรี่เถื่อนลดปริมาณลง เนื่องจากปริมาณความต้องการสินค้าของผู้บริโภคที่ลดลง จนทำให้ผู้ค้าไม่สามารถลักลอบเปิดตลาดขายบุหรี่เถื่อนได้ในที่สุด โดย พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่าบุหรี่เถื่อนมักถูกลักลอบเข้าทางเรือ โดยปะปนมากับสินค้าถูกกฎหมาย จึงสั่งการให้ตำรวจน้ำและหน่วยปฏิบัติการชายฝั่งเข้มงวดตรวจสอบ พร้อมขยายผลไปยังเครือข่ายค้ายาเสพติดและการค้ามนุษย์ ซึ่งมักมีความเกี่ยวข้องกัน การปราบปรามบุหรี่เถื่อนจึงต้องดำเนินการแบบครบวงจร ตั้งแต่ “ต้นน้ำ” ด้วยการสกัดกั้นตามแนวชายแดน “กลางน้ำ” ด้วยการตรวจสอบเส้นทางลำเลียง และ “ปลายน้ำ” ด้วยการจับกุมและดำเนินคดีกับร้านค้าและผู้ค้ารายย่อย รวมถึงตัดช่องทางการขายในโลกออนไลน์ รัฐบาลเชื่อว่า หากมาตรการเหล่านี้ได้ผล จะสามารถเพิ่มรายได้จากภาษี ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข และลดจำนวนผู้ป่วยจากการสูบบุหรี่ได้ในระยะยาว แต่หากปล่อยให้ตลาดมืดบุหรี่เถื่อนเติบโตต่อไป ภาษีที่รัฐควรได้จะหายไป สุขภาพประชาชนจะทรุดลง และวันหนึ่งเราอาจต้องเผชิญ “วิกฤตสาธารณสุขระดับชาติ” ที่สายเกินกว่าจะแก้ไข ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก https://www.dailynews.co.th/

อ่านต่อ
...
จับคาด่าน! หนุ่ม 29 ลอบขนบุหรี่เถื่อน ยึดของกลางมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท
ผลกระทบจากบุหรี่เถื่อน

รวบบุหรี่เถื่อนคาด่าน! ทหาร ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ จับหนุ่มขนบุหรี่เถื่อน มูลค่าเกือบ 10 ล้านบาทเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ที่กองพลทหารรายฃบที่ 9 (พล ร.9) พล.ต.อัษฎาวุธ ปันยารชุน ผู้บัญชาการกองพลหารราบที่ 9 ในฐานะ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรสีห์ พร้อม นายอธิสรรค์ อินทร์ตรา ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากแหล่งข่าวในพื้นที่ ว่าจะมีการลักลอบขนบุหรี่เถื่อนจากชายแดน ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามายังพื้นที่ตอนใน โดยใช้เส้นทาง ถนนหมายเลข 323 จึงได้วางแผนจับกุมพร้อมสั่งการให้ พ.อ.พรรณศักย์ เพรียวพานิช ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 29 ในฐานะ ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ พร้อมด้วย พ.อ. ปิยะเณศร์ ภัทรศาศวัตวงษ์ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ ร่วมกับ กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 134 สภ.สังขละบุรี และฝ่ายปกครอง อำเภอสังขละบุรี ทำการตั้งจุดตรวจจุดสกัดร่วมกัน กระทั่งเวลา 22.00 น. เมื่อคืนนี้ (4 ส.ค.) เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ได้ตั้งจุดตรวจจุดสกัด บริเวณจุดตรวจร่วมน้ำเกริ๊ก ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี มุ่งหน้า อ.ทองผาภูมิ ซึ่งเป็นจุดที่สายข่าวรายงาน กระทั่งตรวจพบรถยนต์กระบะต้องสงสัย จึงได้ส่งสัญญาณหยุดรถและแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่เพื่อทำการตรวจสอบ ทราบชื่อคนขับคือ นายพีระพล (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ขณะพูดคุย เจ้าหน้าที่สังเกตพบอาการพิรุธชัดเจน และสังเกตพบว่าบริเวณเบาะด้านหลังคนขับมีผ้าใบสีน้ำตาลคลุมสิ่งของบางอย่างไว้ จึงได้ ขอทำการตรวจคน พบบุหรี่หนีภาษีกว่า 1,030 คอตตอน ซุกซ่อนอยู่บริเวณเบาะด้านหลังคนขับ และบริเวณด้านท้ายกระบะ เปรียบเทียบราคาปรับของสรรพสามิต เป็นเงินกว่า 9.27 ล้านบาท นายพีระพล ให้การรับสารภาพว่า ได้รับการว่าจ้างด้วยเงินจำนวน 2,000 บาท จากนายอ้วน (ไม่ทราบชื่อ-นามสกุล) ให้ขับรถยนต์คันดังกล่าวไปส่งบริเวณ ถนนปากทางเข้า โรงเรียนลาซาน สังขละบุรี ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี หลังจากนั้นจะมีบุคคลอื่นนำรถยนต์คันดังกล่าวเข้าไปยังพื้นที่ตอนใน เพื่อนำบุหรี่หนีภาษีไปจำหน่ายต่อไป เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดของกลางและนำตัวผู้กระทำความผิดส่ง สภ.สังขละบุรี เพื่อทำการเปรียบเทียบปรับและดำเนินการตามกฎหมายต่อไป ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก https://www.matichon.co.th/politics/news_5308244

อ่านต่อ
...
ชาวไร่ยาสูบ หนุนซีลชายแดน สกัดบุหรี่เถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้าน
ผลกระทบจากบุหรี่เถื่อน

ชาวไร่ยาสูบ ปลื้มรัฐไม่ทอดทิ้งยามวิกฤต พร้อมสนับสนุนรัฐซีลจังหวัดชายแดนป้องกันบุหรี่เถื่อนทะลักเข้าประเทศ 5 ส.ค. 2568 – นายกิตติทัศน์ ผาทอง ตัวแทนภาคีชาวไร่ยาสูบแห่งประเทศไทย กล่าวว่า “ชาวไร่ยาสูบ 2 หมื่นครอบครัว ในภาคเหนือ ภาคอีสาน และเพชรบูรณ์ สุโขทัย ขอขอบคุณกระทรวงการคลังที่ใส่ใจความเดือดร้อนของชาวไร่ยาสูบ การปรับขึ้นราคารับซื้อใบยา และหาแนวทางในการลดต้นทุนการผลิตยาสูบ พอจะช่วยให้ชาวไร่มีรายได้เพิ่มขึ้น ท่ามกลางวิกฤติปัญหาบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ไฟฟ้าที่ทะลักเข้าสู่ประเทศไทยตามแนวชายแดนทั้งด้านกัมพูชา เมียนมาร์ ลาวและด้านมาเลเซีย เราดีใจที่หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องจริงจังกับการปราบปรามมากขึ้น ลงพื้นที่จับไปถึงศูนย์คัดแยกสินค้า เป็นสัญญาณที่ดีว่าภาครัฐไม่ได้นิ่งนอนใจที่จะช่วยปกป้องอาชีพของชาวไร่ยาสูบ” ปัจจุบัน สัดส่วนการบริโภคบุหรี่เถื่อนในประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้นจาก 25% เป็น 28% จากการประมาณการณ์คาดว่าสัดส่วนบุหรี่เถื่อน 28% นี้ คิดเป็นใบยาสูบที่หายไปกว่า 7 ล้านกิโลกรัม มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาทต่อปี “ชาวไร่ยาสูบตระหนักดีว่าการปราบปรามบุหรี่เถื่อนเป็นภารกิจที่ท้าทาย ความเด็ดขาดของภาครัฐทำให้พวกเรามีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป และขอเป็นกำลังใจให้รัฐบาลเดินหน้าซีลชายแดน และเร่งรัดโครงการ Zero Tolerance  โดยเฉพาะในภาคใต้ สตูล สงขลา พัทลุง ภูเก็ต นครศรีธรรมราช และพื้นที่กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี รวมถึงนครราชสีมา เพื่อป้องกันประเทศจากสินค้าเถื่อนอย่างเต็มที่ เราเชื่อว่าในช่วงนี้ที่ความไม่สงบประชิดชายแดนด้านกัมพูชา รัฐบาลจะเดินหน้ากวาดล้างขบวนการบุหรี่เถื่อนที่มีต้นตอมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเข้มงวดแน่นอน” ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 68 ครม. ได้พิจารณารายงานผลการพิจารณาศึกษาญัตติ เรื่อง แนวทางการแก้ไขปัญหายาสูบและยาเส้นราคาตกต่ำ ของคณะกรรมาธิการการเงิน การคลัง สถาบันการเงินและตลาดการเงิน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งกระทรวงการคลังได้นำข้อสังเกตดังกล่าวไปหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ข้อสรุปแนวทางแก้ไขปัญหา 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ การลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ให้ชาวไร่ยาสูบด้วยการปรับขึ้นราคารับซื้อใบยาสูบทุกสายพันธ์ และเพิ่มโควตารับซื้อใบยาสูบเพื่อส่งออก  เร่งศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตยาสูบให้เหมาะสมในทุกมิติอย่างรอบด้านโดยกรมสรรพสามิต  เร่งปราบปรามบุหรี่เถื่อนอย่างเข้มงวด ทั้งบุหรี่มวน และบุหรี่ไฟฟ้า  ให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืชทดแทนในอนาคต ขอบคุณภาพและเนื้อหาจาก https://www.thaipost.net/

อ่านต่อ
...
วิกฤตบุหรี่เถื่อน เมื่อนโยบายผิดพลาด เปิดช่องตลาดมืด
ผลกระทบจากบุหรี่เถื่อน

นโยบายการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้นของรัฐบาล โดยให้เหตุผลเรื่องสุขภาพและการป้องกันเยาวชน แม้จะได้ใจประชาชนอยู่บ้าง แต่ก็กำลังสร้างปัญหาใหม่ที่ใหญ่กว่า นั่นคือการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของการค้าบุหรี่เถื่อน ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายมหาศาลต่อรายได้ภาษีของรัฐ แต่ยังเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อสุขภาพของประชาชนทั่วประเทศ เพราะการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าคือการผลักดันให้ผู้บริโภคจำนวนมากที่ต้องการนิโคติน หันกลับไปหา "บุหรี่มวน" แต่ไม่ใช่บุหรี่มวนที่ถูกกฎหมาย หากแต่เป็น "บุหรี่เถื่อนราคาถูก" ที่หาซื้อได้ง่ายขึ้นอย่างน่าตกใจ แถมยังมีกลิ่นและรสชาติที่ตรงใจผู้สูบบุหรี่มากกว่า ข้อมูลการสำรวจซองบุหรี่เปล่าประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ที่เปิดเผยโดยสมาคมการค้ายาสูบไทยชี้ให้เห็นว่าสัดส่วนการบริโภคบุหรี่เถื่อนเพิ่มขึ้นเป็น 28.1% เมื่อเทียบกับการสำรวจครั้งก่อนหน้าเมื่อไตรมาส 3 ปี 2567 ที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 25.4% โดย สตูล สงขลา พัทลุง ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช ยังคงครองแชมป์จังหวัดที่มีการบริโภคบุหรี่เถื่อนสูงสุดในประเทศ การแพร่ระบาดของบุหรี่เถื่อนส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ เนื่องจากบุหรี่เหล่านี้ไม่ได้เสียภาษีสรรพสามิต ส่งผลให้รัฐสูญเสียรายได้ภาษีมหาศาลมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท ที่ควรนำมาพัฒนาประเทศและดูแลสุขภาวะของประชาชน นอกจากนี้ บุหรี่เถื่อนมักไม่มีการควบคุมคุณภาพการผลิต ทำให้มีสารพิษเจือปนในปริมาณที่สูงกว่าบุหรี่ถูกกฎหมายหลายเท่า ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพผู้สูบและผู้ใกล้ชิดในระยะยาว ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสาธารณสุขที่รุนแรงยิ่งขึ้นในอนาคต สิ่งที่น่ากังวลอย่างยิ่งคือ การค้าบุหรี่เถื่อนในปัจจุบันได้ย้ายฐานมาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ เฟซบุ๊ก ไลน์ หรือแม้กระทั่งแอปพลิเคชันซื้อขายสินค้าทั่วไป ผู้ค้าสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านจริง และหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่ได้ค่อนข้างสะดวก รูปแบบการซื้อขายที่หลากหลายและราคาที่ถูกกว่าบุหรี่ถูกกฎหมาย บวกกับการเติบโตของแพลตฟอร์มผู้ให้บริการรับ-ส่งสินค้า ที่เข้ามาเสริมเรื่องความสะดวกสบายในการส่งของให้ถึงหน้าบ้าน ทำให้บุหรี่เถื่อนแพร่กระจายไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนที่เข้าถึงช่องทางออนไลน์เหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย เป็นที่น่าตั้งคำถามอย่างยิ่งว่า ในขณะที่กระทรวงสาธารณสุขแสดงบทบาทอย่างแข็งขันในการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า แต่กลับดูเหมือนจะละเลยและมองข้ามปัญหาการค้าบุหรี่เถื่อนที่กำลังเติบโตอย่างน่าเป็นห่วง และเช่นเดียวกันกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) ที่มีหน้าที่ดูแลและปิดกั้นเนื้อหาผิดกฎหมายบนโลกออนไลน์ ก็ดูเหมือนจะยังไม่มีมาตรการที่เด็ดขาดและเป็นรูปธรรมในการจัดการกับเว็บไซต์และบัญชีโซเชียลมีเดียที่ลักลอบค้าบุหรี่เถื่อนเหล่านี้ การเพิกเฉยต่อปัญหานี้เท่ากับการปล่อยให้ตลาดมืดเติบโตอย่างเสรี และเป็นการบั่นทอนความพยายามในการควบคุมการบริโภคยาสูบของประเทศ สถานการณ์เช่นนี้ไม่สามารถปล่อยทิ้งไว้ได้อีกต่อไป จึงถึงเวลาแล้วที่ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะผู้กุมบังเหียนการดูแลความปลอดภัยทางไซเบอร์ของประเทศ และยังคงได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งเพื่อสานงานภายในกระทรวงอย่างต่อเนื่อง จะต้องเร่งดำเนินการอย่างจริงจังและเด็ดขาด ด้วยการปิดกั้นเว็บไซต์และบัญชีโซเชียลมีเดียที่ใช้ในการค้าบุหรี่เถื่อนอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง ทำงานร่วมกับบริษัทโซเชียลมีเดียและผู้ให้บริการแพลตฟอร์มต่าง ๆ เพื่อให้มีการจัดการกับบัญชีและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับการค้าบุหรี่เถื่อนอย่างจริงจัง รวมถึงชี้แจงถึงมาตรการที่ดำเนินการไปแล้ว และรายงานผลความคืบหน้าในการปราบปรามบุหรี่เถื่อนออนไลน์ให้ประชาชนได้รับทราบอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา การแก้ไขปัญหาบุหรี่เถื่อนเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นองค์รวม ไม่ใช่เพียงแค่การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าเท่านั้น เพราะหากละเลยปัญหานี้ต่อไป ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะรุนแรงเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด และจะกลายเป็นวิกฤตสาธารณสุขและเศรษฐกิจที่ยากจะแก้ไข ขอบคุณที่มา: https://siamrath.co.th

อ่านต่อ

สมัครสมาชิก

สำหรับผู้ประกอบกิจการการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบ และ หรือวิสาหกิจ ในทางการค้าอื่นที่เกี่ยวข้องกับการค้า ผลิตภัณฑ์ยาสูบโดยตรง อัตราค่าลงทะเบียนแรกเข้า 200 บาท และค่าบำรุงสมาคม 100 บาท / 2 ปี (ปีละ 50 บาท เก็บทุกๆ สองปี)

สมาชิกประเภทวิสามัญ สำหรับผู้มีความสนใจหรือมีความรู้เกี่ยวกับยาสูบหรือ ผลิตภัณฑ์ยาสูบหรือ ผู้ประกอบวิสาหกิจในทางการค้า อุตสาหกรรม หรือการเงิน การขนส่งยาสูบ หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบ หรือธุรกิจใดๆ อันเกี่ยวเนื่องกับยาสูบ หรือ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ อัตราค่าลงทะเบียนแรกเข้า 1,000 บาท และค่าบำรุงสมาคม 1,000 ต่อปี

แจ้งเบาะแสบุหรี่ผิดกฎหมาย

พบเห็นการซื้อขายบุหรี่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งผ่านช่องทางออนไลน์ของทางสมาคม และสมาคมจะนำข้อมูลเหล่านี้ยื่นต่อหน่อยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไป ทั้งนี้ผู้ที่แจ้งเบาะแสสามารถติดตามผลการแจ้งได้โดยใส่รหัสอ้างอิงที่ได้รับ

แจ้ง
เบาะแส